เริ่มต้นอาชีพ

ฟาซิโอเกิดที่เมืองไมปู รัฐเมนโดซา เริ่มต้นเล่นให้กับเดปอร์ติโบไมปูในสโมสรเยาวชน จากนั้นจึงเริ่มเล่นสโมสรอาชีพให้กับโกดอยกรูซ โดยทำประตูให้กับโกดอยกรูซในนัดที่เสมอกับเบลกราโน 1–1 เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2006 ทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นคนแรกที่ทำประตูให้กับโกดอยกรูซในลีกสูงสุดของอาร์เจนตินา เขาทำประตูให้กับโกดอยกรูซไปทั้งหมด 12 ประตู จากนั้นในปี 2007 เปเรซย้ายไปร่วมทีมเอสตูเดียนเตส ได้รองแชมป์โกปาซูดาเมริกานา ฤดูกาล 2008 และได้แชมป์โกปาลิเบร์ตาโดเรสในปี 2009

ไบฟีกา

เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2011 เปเรซเซ็นสัญญา 5 ปีกับไบฟีกาโดยมีค่าตัวตามคาดการณ์ 5.5 ล้านยูโร[3]และหลังจากได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าจากการลงเล่นในรอบคัดเลือกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ทำให้เขาถูกยืมตัวกลับไปยังเอสตูเดียนเตสเป็นเวลา 6 เดือน ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2012[4]

ฤดูกาล 2012–13 เปเรซลงเล่นในตำแหน่งกองกลางคู่กับเนมันยา มาติช[5] และมีบทบาทสำคัญให้กับทีม และในฤดูกาล 2013–14 บทบาทในทีมของเขาเพิ่มขึ้นจากการที่มาติชย้ายไปร่วมทีมเชลซีในวันที่ 15 มกราคม 2014 และเขากลายเป็นส่วนสำคัญในการพาทีมได้แชมป์ 3 รายการในประเทศและพาทีมเข้ารอบชิงชนะเลิศยูฟ่ายูโรปาลีก 2 ปีติดต่อกัน แต่อย่างไรก็ตามเปเรซไม่ได้เล่นในนัดชิงชนะเลิศที่แพ้ลูกโทษต่อสโมสรฟุตบอลเซบิยา 4–2 เนื่องจากติดโทษแบนจากรอบรองชนะเลิศที่พบกับยูเวนตุส เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2014[6][7] จากผลงานที่ยอดเยี่ยมทำให้เขาได้รับความสนใจจากหลาย ๆ ทีม[8] ขณะที่ผู้จัดการทีมไบฟีกาได้กล่าวว่าเปเรซเป็นผู้เล่นที่ยากจะหาใครมาแทนที่ได้และเป็นดังสมองของทีม[9][10] ในวันที่ 6 กรกฎาคม 2014 เปเรซได้รางวัลผู้เล่นแห่งปีของปรีไมราลีกา[11]

บาเลนเซียและริเบร์เปลต

วันที่ 2 มกราคม 2015 เปเรซได้เซ็นสัญญากับบาเลนเซีย[12][13] ด้วยค่าตัว 25 ล้านยูโร[14] กลายเป็นนักฟุตบอลชาวอาร์เจนตินาที่มีค่าตัวแพงที่สุดเป็นอันดับ 10[15] และในวันที่ 4 มกราคม เขาได้ลงเล่นนัดแรกให้กับบาเลนเซียในนัดที่ชนะเรอัลมาดริด 2–1 ในลาลิกา[16]

จากนั้นในวันที่ 29 มิถุนายน 2017 เปเรซกลับไปเล่นในลีกอาร์เจนตินาให้กับริเบร์เปลต[17]